สามเหลี่ยมแห่งความสุขแบบสโตอิก: กุญแจสู่ตัวตนที่ดีที่สุดของคุณ

Readers’ Garden เล่มที่ 117

หากคุณลองจินตนาการดูว่า…

ถ้าวันนี้คุณไม่มีบ้านหลังสวยให้กลับไป ไม่มีงานที่น่าภูมิใจให้พูดถึง ไม่มีชื่อเสียงให้คนยอมรับ ไม่มีเสื้อผ้าดีๆ ใส่ ไม่เหลือสิ่งใดที่บอกให้โลกรู้ว่าคุณ ประสบความสำเร็จ

คุณจะยังรู้สึกมีคุณค่าไหม? หรือมันจะหายไปพร้อมกับสิ่งที่คุณเคยมี?

คุณจะอ้างความยากจน เพื่อฉกฉวยโอกาสคดโกงคนอื่นไหม?
คุณจะหมดความมั่นใจ เพียงเพราะเจอคนที่ดูสมบูรณ์พร้อมกว่าหรือเปล่า?
คุณจะโทษความทุกข์ที่เกิดขึ้น ว่าเป็นความผิดของคนอื่นไหม?

ถ้าคำตอบในใจคือ “ใช่ ใช่ และใช่”
ถ้าถอดเปลือกนอกออกไป แล้วเหลือเพียง “ความว่างเปล่า”

งั้นปรัชญาสโตอิก (Stoicism) อาจเป็นสิ่งที่เข้ามาเติมเต็มความว่างในใจคุณก็ได้

เพราะสำหรับชาวสโตอิกแล้ว

คุณไม่ได้ถูกนิยามด้วย ทรัพย์สิน
คุณไม่ได้ถูกนิยามด้วย หน้าที่การงาน
คุณไม่ได้ถูกนิยามด้วย ภาพลักษณ์ ในสายตาคนอื่น

คุณคือตัวตนที่ยังหลงเหลืออยู่ เมื่อเปลือกนอกถูกถอดออกไปจนหมดแล้ว

ดังนั้นต่อให้วันนี้คุณพบเจอคนอีกหลายร้อย หลายพันที่เก่งกว่า รวยกว่า คุณก็ยังยินดีชื่นชมเขาได้ โดยไม่รู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า หรือต่อให้มีคนโยนความทุกข์หรือคำพูดแย่ๆ ใส่คุณ คุณก็ยังมีความสุขได้ โดยไม่ให้คนอื่นมากำหนดจิตใจคุณ

นั่นคือสิ่งที่ปรัชญาสโตอิกจะคอยขัดเกลาคุณ ให้กลายเป็นตัวตนที่ดีที่สุด และมีความสุขที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งสามารถเป็นได้

ถ้าคุณเริ่มอยากจะเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นด้วยปรัชญาสโตอิกบ้างแล้วล่ะก็ ขอแนะนำให้รู้จักปรัชญากรีกเก่าแก่นี้แบบเข้าใจง่ายๆ ผ่านหนังสือ The Little Book of Stoicism ของโยนัส ซัลซ์เกเบอร์ (Jonas Salzgeber) นักเขียนชาวสวิส ผู้เผยแพร่สโตอิกในชีวิตประจำวันผ่านบล็อก NJ Lifehacks ร่วมกับนิลส์ (Nils Salzgeber) พี่ชายของเขา

วันที่หลงเหลือเพียงตัวตน

ก่อนอื่นมาฟังเรื่องเล่าสั้นๆ ของที่มาของปรัชญาสโตอิก ว่าในวันที่เปลือกนอกหายไป คุณจะยังมีชีวิตที่ดีอยู่ได้ไหม

เมื่อหลายพันปีก่อน เรือของพ่อค้าคนหนึ่งอับปางลงกลางทะเล ข้าวของ เงินทอง ทรัพย์สินที่หามาทั้งชีวิตหายวับไปกับคลื่นในพริบตา

พ่อค้าคนนั้นชื่อว่า ซีโนแห่งซิทิอุม (Zeno of Citium) 

หลังจากซีโนสูญเสียความมั่งคั่ง เขาก็เดินทางไปยังกรุงเอเธนส์ และเข้าไปในร้านขายหนังสือ ที่นั่นเขาได้อ่านเรื่องราวของโสเครตีส นักปราชญ์ผู้มีชื่อเสียง 

เขาสนใจมากจนไปหาเจ้าของร้าน แล้วถามว่า

“ยังมีคนแบบโสเครตีสอยู่ไหม?”

เจ้าของร้านชี้ไปยังถนนนอกหน้าต่าง 

“มีสิ คนหนึ่งเดินอยู่ตรงนั้นเลย… เขาชื่อ เครตีส

นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ซีโนเริ่มเรียนรู้ปรัชญาการใช้ชีวิต และเปลี่ยนวิถีชีวิตไปตลอดกาล จนเขากล่าวว่า

“ข้าพบการเดินทางที่รุ่มรวยล้ำค่าผ่านคราวเคราะห์เมื่อเรืออับปาง”

ซีโนได้ร่ำเรียนปรัชญาจากเครตีส เพลโต และนักปราชญ์อีกหลายคนตลอดหลายปี จนกระทั่งเขาตั้งสำนักปรัชญาของตัวเองขึ้นที่ ‘ระเบียงแห่งภาพวาด’ ใจกลางเอเธนส์ หรือที่เรียกว่า Stoa Poikile นั่นทำให้ผู้ติดตามเขาถูกเรียกว่า ชาวสโตอิก (Stoics)

สิ่งที่ซีโนและชาวสโตอิกตั้งคำถามอยู่เสมอคือ

“เราจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร?”

ชีวิตที่ดีของชาวสโตอิก ไม่ได้แปลว่า ต้องรวย ต้องมีชื่อเสียง ต้องประสบความสำเร็จ แต่มันคือ ชีวิตที่มั่นคงจากภายใน

เหมือนกับที่ซีโนได้พบเจอ แม้ว่าเขาจะสูญเสียความมั่งคั่งภายนอก แต่กลับมั่นคงและมีความสุขมากกว่าเดิมจากตัวตนภายใน

พีระมิดความต้องการของมาสโลว์

บางคนอาจมีคำถาม เหมือนที่เราเองก็เคยสงสัยตอนอ่านเล่มนี้ว่า “แล้วถ้าเราอยู่ในจุดที่ไม่เหลืออะไรเลยจริงๆ ล่ะ?” 

อดอยาก ไร้ที่อยู่อาศัย สุขอนามัยย่ำแย่ เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ในสถานการณ์แบบนั้น เราจะยังมีความสุขจากภายในได้จริงหรือ?

แม้ว่าเล่มนี้จะไม่ได้กล่าวถึงสถานการณ์ที่หนักหนาขนาดนั้น (และเราคิดว่ามีโอกาสน้อยมากที่ชาวสโตอิกจะเจอสถานการณ์นี้ หากได้อ่านแนวทางการใช้ชีวิตแบบสโตอิกแล้ว คุณจะเข้าใจว่าทำไม) แต่เรามองว่าปรัชญาสโตอิกจะได้ผลก็ต่อเมื่อทำงานร่วมกับแนวคิดเรื่อง พีระมิดความต้องการของมาสโลว์ (Maslow’s Hierarchy of Needs)

พีระมิดของมาสโลว์อธิบายว่า ความต้องการของมนุษย์มี 5 ขั้น โดยชั้นล่างสุดคือ ความต้องการทางกายภาพเพื่อความอยู่รอด เช่น มีน้ำและอาหารพอเพียงในแต่ละวัน มีที่อยู่อาศัยให้ได้นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ สุขภาพดี ไม่เจ็บป่วยเรื้อรัง

ถ้าเรายังเติมเต็มความต้องการพื้นฐานเหล่านี้ไม่ได้ การจะนำปรัชญาสโตอิกมาใช้เพื่อสร้างความสุขภายใน ก็อาจจะยากอยู่เหมือนกัน

แต่เมื่อเรามีชีวิตที่พอประคับประคองได้แล้ว นั่นแหละค่ะ ที่ปรัชญาสโตอิกจะเริ่มมีบทบาทสำคัญ ช่วยเสริมสร้างความสุข ความสงบ และความแข็งแกร่งจากภายในใจ

สามเหลี่ยมสโตอิกแห่งตัวตนสูงสุด

หากสรุปเรื่องราวการกำเนิดของปรัชญาสโตอิก ชาวสโตอิกนั่นพยายามใช้ชีวิตที่ดีในทุกๆ วัน ชีวิตที่มั่นคงจากภายใน โดยมีแนวคิด 3 ข้อที่เรียกว่า สามเหลี่ยมแห่งความสุข (The Stoic Happiness) เป็นสิ่งยึดเหนี่ยว

แต่ก่อนจะไปทำความรู้จักกับ 3 แนวคิดของสามเหลี่ยม มารู้จักกับจุดศูนย์กลางที่สำคัญที่สุดกันก่อน

Eudaimonia ความสุขจากตัวตนข้างใน

ตรงกลางของสามเหลี่ยมนี้ มีคำคำหนึ่งที่ชาวสโตอิกถือว่าเป็น เป้าหมายสูงสุดของชีวิต นั่นคือ ยูไดโมเนีย (Eudaimonia) ถ้าให้แปลง่ายๆ ก็คือ ความสุขที่แท้จริง เกิดจากการเติบโตจากภายใน ไม่ใช่จากชื่อเสียง เงินทอง คำชม หรือเปลือกนอก

เป็นความสุขที่คุณยังรู้สึกพอใจในตัวเอง แม้จะไม่มีอะไรหรูหรา
เป็นความสุขที่คุณยังเป็นคนดี แม้ไม่มีใครเห็น
เป็นความสุขที่คุณยังยิ้มให้คนอื่นได้ แม้จะเห็นเขาไปได้ไกลกว่าคุณ
โดยไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบ เพราะคุณรู้สึกว่า…

“ฉันก็ดีที่สุดเท่าที่ฉันเป็นได้แล้วเหมือนกัน”

ยูไดโมเนียจึงไม่ใช่แค่ความสุขชั่วคราว แต่เป็นความรู้สึกสงบและภาคภูมิใจเงียบๆ เวลานั่งมองย้อนกลับมาที่ตัวเองในแต่ละวัน

และสิ่งที่จะพาคุณไปถึงยูไดโมเนียได้คือ หัวใจ 3 ข้อของสามเหลี่ยมแห่งความสุข

1. ใช้ชีวิตอยู่กับ Arete ตัวตนที่ดีที่สุดของเรา

คำว่า Arete มาจากภาษากรีกโบราณ แปลว่า ความดีงามสูงสุดที่มนุษย์คนหนึ่งจะเป็นได้

การใช้ชีวิตอยู่กับ Arete จึงหมายถึง การพยายามเป็นตัวเราในเวอร์ชันที่ดีที่สุดในทุกขณะ ไม่ต้องเป็นคนสมบูรณ์แบบ แต่พยายามลดช่องว่างระหว่างคนที่เราอยากเป็น กับคนที่เราเป็นอยู่ตอนนี้ ให้ใกล้กันที่สุดเท่าที่จะทำได้

ตัวตนที่ดีที่สุดนี้ ไม่ได้อยู่บนคำชมจากคนอื่น หรือยอดไลก์ในโซเชียล แต่มันอยู่ในทุกการตัดสินใจเล็กๆ ของคุณเอง

เช่น ถ้าคุณเห็นคนคนหนึ่งกำลังถูกกลั่นแกล้ง คุณจะเข้าไปช่วยไหม? แม้จะรู้ว่าผลลัพธ์อาจไม่เป็นอย่างที่หวัง คุณอาจได้รับคำขอบคุณ อาจตกเป็นเป้าหมายการถูกกลั่นแกล้งซะเอง หรืออาจถูกมองว่ายุ่งไม่เข้าเรื่องก็ได้

สำหรับชาวสโตอิกคงเลือกที่จะเข้าไปช่วย แม้จะไม่ได้คำขอบคุณ แม้จะไม่มีใครเห็น ถ้าถูกเหวี่ยงกลับมา เขาก็จะยิ้มบางๆ ยักไหล่ และเดินหน้าต่อไปอย่างสงบใจ เพราะรู้ว่าตัวเองทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่มีคุณค่าคนหนึ่ง

คุณธรรม 4 ประการ

ตัวตนที่ดีแบบ Arete ประกอบด้วยคุณธรรม 4 ประการ เปรียบเสมือนเสาหลักที่ช่วยพยุงตัวตนของคุณให้มั่นคง ได้แก่

  1. ปัญญา (Wisdom) รู้ว่าอะไรควรรู้สึก ควรคิด และควรทำในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน เป็นสำนึกที่ดีงามในความเหมาะสม ไม่ใช่แค่ฉลาด แต่เข้าใจโลก
  2. ความยุติธรรม (Justice) ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเหมาะสม ไม่เอาเปรียบ ไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง มองมนุษย์เป็นเพื่อนร่วมทาง ไม่ใช่คู่แข่ง
  3. ความกล้าหาญ (Courage) ยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง แม้ใจจะกลัว แม้โลกจะไม่เห็นด้วย ความกล้าหาญคือรากของความซื่อสัตย์ ความอดทน และศักดิ์ศรี
  4. วินัย (Temperance) การควบคุมตัวเองในวันที่อารมณ์พลุ่งพล่าน อยู่กับความพอดี รู้จักถ่อมตัว ให้อภัย และไม่ยึดติด

ส่วนสิ่งที่ตรงข้ามกับคุณธรรมคือ Kakia (คาร์เกียร์) หมายถึง ความชั่วร้าย 4 ประการ บ่งชี้ถึงนิสัยที่อ่อนแอ ไร้เกียรติ และเบาปัญญา สามารถจับคู่คุณธรรมแต่ละข้อได้ดังนี้

  1. ปัญญา ↔ ความเขลา ไม่รู้ว่าควรรู้สึกหรือแสดงออกอย่างไร
  2. ความยุติธรรม ↔ ความอยุติธรรม เอาเปรียบ ไม่เคารพสิทธิของผู้อื่น
  3. ความกล้าหาญ ↔ ความขี้ขลาด กลัวจนละทิ้งสิ่งที่ควรทำ
  4. วินัย ↔ ความเย่อหยิ่งและเหลวไหล ตามใจอารมณ์ หลงตัวเอง

หากในบางวันที่คุณนึกถึงคุณธรรมไม่ออก อย่างน้อยก็ให้นึกถึงคาร์เกียร์ทั้ง 4 แล้วทำตรงกันข้าม

เพราะแค่ไม่เขลา ไม่อยุติธรรม ไม่ขี้ขลาด และไม่เหลวไหล คุณก็เดินห่างออกจากชีวิตที่เลื่อนลอย และเข้าใกล้ชีวิตที่ดีขึ้นอีกก้าวแล้ว

2. โฟกัสเฉพาะสิ่งที่คุณควบคุมได้ แล้วทำมันให้ดีที่สุด

คุณเคยนั่งคิดวนเวียนแบบนี้อยู่ในหัวบ้างไหม

“ทำไมเราไม่เกิดมารวยนะ”

“ทำไมเราถึงไม่หน้าตาดีแบบคนอื่นเขาบ้าง”

“ทำไมเราถึงไม่เก่งแบบนั้นบ้างนะ”

คำถามพวกนี้แหละที่เผาเวลาชีวิตของพวกเราไปไม่รู้เท่าไหร่ แค่คิดเรื่องเหล่านี้วันละ 10 นาที ผ่านไปหนึ่งปี คุณเสียเวลาไปแล้วกว่า 60 ชั่วโมง หรือก็คือ 2 วันครึ่ง หมดไปกับการหมกมุ่นในสิ่งที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้เลย

สโตอิกเลยสอนเอาไว้ว่า อย่าเสียพลังให้กับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ โฟกัสแค่สิ่งที่ควบคุมได้ แล้วทำมันให้ดีที่สุดก็พอ

โดยแบ่งการควบคุมสิ่งต่างๆ ออกเป็น 3 ระดับ

  1. คุณควบคุมได้เต็มที่ มีเพียง 2 อย่างคือ วิจารณญาณ และการกระทำที่เกิดจากเจตนาของคุณเอง
  2. คุณควบคุมได้บางส่วน เช่น สุขภาพ ความมั่งคั่ง การงาน ความสัมพันธ์ คุณดูแลสิ่งเหล่านี้ได้ แต่ควบคุมไม่ได้ 100%
  3. คุณควบคุมไม่ได้เลย เช่น สภาพอากาศ ชาติพันธุ์ คำพูดของคนอื่น หรือโชคชะตา

การยึดติดกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้และพยายามจะเปลี่ยนแปลง มีแต่จะสร้างความทุกข์ขึ้นมาโดยไม่จำเป็น

แต่การปล่อยวางในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ≠ ยอมแพ้

ลองมาดูตัวอย่างของเรื่องเล่านักยิงธนูเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้นกันค่ะ

หน้าที่ของนักยิงธนูคือ ยิงธนูให้เข้าเป้า โดยผ่านการฝึกฝน ใช้เทคนิคเล็งให้แม่น ทุ่มสมาธิ และปล่อยลูกธนูออกไปอย่างมั่นใจ ทว่าหลังจากลูกธนูถูกปล่อยไปแล้ว เขาก็ทำอะไรกับมันไม่ได้อีกต่อไป ลมอาจพัด เป้าอาจขยับ หรืออาจมีนกบินตัดหน้า

เหมือนกับชีวิตของพวกเรา คุณทำได้เพียงควบคุม ก่อนปล่อยลูกธนู หรือตอน ลงมือทำ สิ่งต่างๆ ทว่าผลลัพธ์หลังจากนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่คุณควบคุมได้แล้ว

เน้นที่กระบวนการ ไม่ใช่ผลลัพธ์

ชาวสโตอิกจึงเชื่อว่าสิ่งที่ควรให้คุณค่าคือ กระบวนการ ไม่ใช่ผลลัพธ์ การพยายามอย่างเต็มที่ ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ วางแผนให้รอบคอบ นั่นแหละคือชัยชนะที่แท้จริง แม้ผลลัพธ์จะไม่เป็นอย่างหวังก็ตาม

คุณอาจทำเต็มที่แล้ว แต่ไม่ได้งานที่คาดหวัง ไม่ได้คะแนนดีๆ ไม่ถูกรับเลือก แต่คุณจะไม่เสียศูนย์ เพราะคุณได้ทำทุกอย่างในอำนาจของคุณแล้ว

เช่น คุณตั้งเป้าอยากได้เลื่อนตำแหน่ง คุณทำผลงานเต็มที่ตาม KPI ที่บริษัทวางไว้ คุณทำได้ถึงเป้าหมายทุกข้อ แต่ปีนั้นกลับมีคนทำถึงเป้าเยอะมาก และบริษัทมีโควต้าเลื่อนตำแหน่งจำกัด สุดท้ายคุณอาจไม่ได้เลื่อน ต้องไปรอรอบถัดไปแทน

คนทั่วไปคงรู้สึกผิดหวัง โกรธ บางคนอาจโทษบริษัทว่าไม่ยุติธรรม บางคนก็อาจโทษตัวเองว่ายังไม่ดีพอ

แต่ในมุมของชาวสโตอิก เขาอาจจะรู้สึกผิดหวังเช่นกัน แต่จะไม่ฟูมฟาย ไม่ปล่อยให้ความรู้สึกพาไปไกล เพราะเขารู้ว่าสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ก็คือ การตัดสินใจของคนอื่น

สิ่งที่เขาควบคุมได้ มีเพียงการทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด หลังจากนั้นเขาก็จะตัดสินใจจากสิ่งที่ควบคุมได้ ต่อไป เช่น

  • จะอยู่รอเลื่อนตำแหน่งรอบหน้าไหม?
  • จะขอเจรจาสวัสดิการหรือเงินเดือนเพิ่ม เพราะทำผลงานได้ถึงเป้า?
  • หรือจะขอออกไปหาที่ที่มีโอกาสก้าวหน้าเร็วกว่านี้?

ทั้งหมดคือทางเลือกที่ เขาเลือกได้ ไม่ใช่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา แต่คือการเลือกเดินบนเส้นทางที่ยังควบคุมได้ ด้วยใจที่สงบ และศักดิ์ศรีที่ยังอยู่ครบ

เพราะชีวิตเราไม่เหมือนเป้าที่หยุดนิ่ง แต่การเป็นนักยิงธนูที่ดีในแบบของสโตอิก คือการตั้งใจเล็งทุกครั้งที่ได้ยิง แม้รู้ว่าอาจไม่ได้โดนเป้าทุกครั้งก็ตาม

ถ้าคุณได้ทุ่มเทกับสิ่งที่อยู่ในมือคุณอย่างสุดหัวใจ ไม่ว่าผลจะออกมาแบบไหน คุณก็จะยังสงบสุขได้อยู่ดี เพราะคุณรู้ว่า ฉันทำดีที่สุดแล้วกับสิ่งที่ฉันควบคุมได้

3. รับผิดชอบ

ความรับผิดชอบในแบบสโตอิกคือ การตระหนักว่าความสุขและความทุกข์อยู่ในมือของคุณเอง ผิดชอบต่อความรู้สึกและการกระทำของตัวเอง โดยไม่มีข้ออ้าง หรือไม่ต้องกล่าวโทษคนอื่นหรือสิ่งภายนอก

ลองนึกถึงเหตุการณ์ง่ายๆ เช่น 

  • เจ้าแมวเดินไปชนแก้วกาแฟใบโปรดของคุณที่ตกแตก
  • เจอคนคุยเสียงดังในโรงหนัง
  • รถไฟฟ้าเสียตอนเช้า ทำให้คุณไปพรีเซนต์งานสำคัญสาย

คุณมี 2 ทางเลือก

  1. ตอบโต้แบบอัตโนมัติ หงุดหงิด กล่าวโทษ ปล่อยให้เรื่องเล็กๆ พาอารมณ์เสียไปทั้งวัน
  2. หยุด คิด แล้วเลือก ปฏิกิริยาที่จะตอบสนองออกไปด้วยสติและเหตุผล

แบบหลังคือ ความรับผิดชอบในมุมมองของชาวสโตอิกที่สอนให้คุณเลือกการกระทำที่พาคุณไปสู่ความสงบ

คุณไม่จำเป็นต้องอดทนฝืนใจดูหนังขณะที่มีคนคุยเสียงดัง หรือไปโต้เถียงกับเขาให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่คุณสามารถเลือกไปแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ช่วยจัดการ ขอเปลี่ยนที่นั่ง หรือเลือกที่จะปล่อยผ่านด้วยความเมตตา 

เพราะในมุมของสโตอิก คนที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนแล้ว ก็เหมือนคนที่ตาบอดหรือง่อยเปลี้ยทางจิตใจ คุณไม่จำเป็นต้องโกรธเขา เหมือนที่คุณไม่โกรธคนตาบอดที่เดินมาชนคุณ

อย่าโทษคนอื่น อย่าโทษสถานการณ์ อย่าโทษฟ้าฝนกับเรื่องแย่ๆ ที่เกิดขึ้น 

เมื่อคุณตระหนักว่า คุณคือผู้รับผิดชอบต่อความรู้สึกของตัวเอง คุณจะพบว่าไม่มีใครสามารถทำให้คุณรู้สึกแย่ได้ เพราะความรู้สึกนั้นมาจากข้างในของคุณเอง

เอพิกเตตัส (Epictetus) นักปราชญ์สโตอิก ได้สรุปเรื่องความรับผิดชอบไว้ 2 ข้ออย่างเรียบง่าย

  1. ไม่มีอะไรดีหรือเลว ถ้าคุณไม่ได้ เลือก ให้มันเป็น
  2. อย่าเสียเวลาโน้มน้าวเหตุการณ์ให้เป็นดั่งใจ แต่ให้ยอมรับมันอย่างที่เป็น และทำในส่วนที่คุณควบคุมได้ให้ดีที่สุด

ไม่ว่าโลกจะโกลาหลแค่ไหน คุณก็ยังเป็นผู้กำหนดชีวิตของตัวเองได้อยู่ดี

ทั้งหมดนี้คือหัวใจ 3 ข้อของปรัชญาสโตอิกค่ะ

ไม่แน่ใจว่าคุณเคยรู้สึกแบบเราบ้างไหม เคยมองว่าสโตอิกเป็นเรื่องเข้าใจยากและห่างไกลตัวมาก่อน

ตอนเราเริ่มอ่านสโตอิกสมัยเรียน เพราะมันเป็นกระแสที่ใครๆ ก็พูดว่านี่คือวิชาชีวิตที่ควรเรียนรู้ แต่พอได้ลองอ่านจริงๆ กลับรู้สึกไม่อินเลย มันดูเย็นชา แข็งๆ และในสายตาเด็กคนนั้น สโตอิกก็คือ “ชีวิตของผู้ใหญ่น่าเบื่อ”

แต่เมื่อเราได้ใช้ชีวิตวัยทำงาน เจอทั้งความเหนื่อยล้า ความไม่แน่นอน และวุ่นวายของสังคม กลายเป็นว่าสโตอิกในเล่มเล็กๆ อย่าง The Little Book of Stoicism ทำให้เรามีสติขึ้น และอยากใช้ชีวิตตามวิถีชาวสโตอิก

ถ้าตอนนี้คุณยังรู้สึกว่าสโตอิกไม่ใช่ ก็ไม่เป็นไรเลย เพราะทุกคนมีจังหวะชีวิตของตัวเอง แต่ถ้าวันหนึ่งคุณมองหาความสงบ หรืออยากมีสติมากขึ้นในวันที่อะไรๆ ดูไม่เป็นใจ สโตอิกอาจเป็นแนวคิดที่ช่วยให้คุณยืนอย่างสงบท่ามกลางพายุได้

เพราะแม้ในวันที่ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย เราก็ยัง “เติบโต” ได้เสมอ





Picture of Cookie

Cookie

นักการตลาดโดยอาชีพ นัก Artistic Pole & Aerialist สมัครเล่น ชอบสร้างสรรค์ digital template แจกโดยสมัครใจ และสมัครไปปีนเขาทุกปี

CREATIVE LAB

LIFE DESIGN TEMPLATES

Track your growth. Organize your mind. Design a life that works for you.

digital Notebook

Travel Planner Template

Notion Template

Wallpaper & Folder Icon

Self-design. Infinite possibilities. Spread Kindness.

คาเฟ่ดิจิทัล ☕︎ เสิร์ฟคอนเทนต์ทักษะชีวิต ปลดล็อกศักยภาพ และเครื่องมือออกแบบชีวิต ที่จะช่วยให้คุณค้นพบเป้าหมาย เป็นได้ทุกอย่างที่ใจต้องการ และใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ

© All Rights Reserved.

2020 – 2025 SIS ACADEMY | by Ponglada Niyompong

Back to top